Time
Workshop
Workshop 1 # ประสบการณ์ความสำเร็จในการใช้เวลา
(เรียงตามลำดับรายชื่อ)
เรื่องที่ 1 หลังจากเรียนจบปริญญาตรี
ช่วง 3 เดือนที่เรียนจบมา รู้สึกว่าตัวเองใช้เวลาไปอย่างว่างเปล่า ให้มันผ่านพ้น ไป วันๆ
รู้สึกตัวเองไม่มีค่า เกิดความรู้สึกที่อยากทำงาน แต่ไม่อยากทำงานอยู่บ้าน
เพราะไม่ได้ช่วยอะไรทางบ้านมากหนัก คืออยากหาเงินด้วยตัวเองมากกว่าที่จะกินเงินเดือนของพ่อแม่
และได้ไปสมัครงานบริษัท ได้รับหน้าที่ เป็นเจ้าหน้าที่การเงินจ่าย
คิดว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยเริ่มตั้งแต่กิจวัตรประจำวัน
จากเป็นคนตื่นสาย กลายเป็นคนตื่นเช้า
- - ตื่น 6.30 น. ทำธุระส่วนตัวให้เสร็จ
- -
ขับรถไปทำงานก่อน
7.30 น. ก่อนเข้างาน 8.00 น.
เริ่มทำงาน 3 เดือนแรก
ต้องเรียนรู้งานจากหัวหน้า ต้องจดจำรายละเอียดทุกอย่าง ว่าตำแหน่งนี้มีหน้าที่อะไรบ้าง
ช่วงเวลาในการทำงาน ต้องแบ่งเวลาในการทำงานเป็นช่วงเวลา เพื่อทำงานให้ทันเวลา โดยเริ่มจาก
- - เวลา 8.00 น. ต้องดูยอดเงินในระบบของธนาคาร
ทั้ง 5 ธนาคาร ว่ามีเงินพอในการที่จะจ่ายให้เจ้าหนี้มั้ย และเบิกเงินสดในการจ่ายค่าใช้จ่ายประจำวันและอื่นๆ
- - เวลา 9.00 น. ต้องทำชุดใบสำคัญจ่ายขึ้นระบบธนาคารของแต่ละธนาคาร ต้องทำให้ถูกต้อง และละเอียด ต้องทำเสร็จก่อนพักเที่ยงกินข้าว
- - เวลา 13.00 น.
เพื่อที่จะได้รับการอนุมัติจากกรรมการ ในการจ่ายเงิน ของแต่ละธนาคาร
เวลาในการจ่ายเงินของธนาคารมีระบบเวลาในการตัดยอดเงินแต่ละธนาคารไม่เท่ากัน
ต้องทำธนาคารที่ตัดยอดก่อนต้องได้รับอนุมัติจากกรรมการกรก่อน
เพื่อที่จะจ่ายเจ้าหนี้ได้ทันเวลา ถ้าจ่ายช้า
จะมีดอกเบี้ยและค่าปรับเพิ่มมากขึ้นจากเจ้าหนี้การค้า ทุกเวลามีค่ามาก
ต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดใน 1 วัน และจัดสรรเวลาได้เป็นอย่างดีมากขึ้น เรื่องที่ 2 เป็นช่วงเวลาตลอด 4 ปี ที่เรียน ปริญญาตรี ในมหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งตอนเรียนในเทอม 1 ปี 1 มีกิจกรรมเยอะ ทำกิจกรรมมากมาย เลยทำให้การเรียนในขณะนั่นแย่ลง แต่ก็เลือกกิจกรรมที่เราชอบ เรารักในสิ่งนั่นพร้อมกับการเรียน ทำไปพร้อมๆกัน โดยแบ่งเวลาช่วงที่ว่างจากการเรียนและหลังเลิกเรียน คือการทำตารางล่วงหน้าประจำวันว่าพุ่งนี้ในแต่ละวันต้องทำอะไรบ้าง และสามารถจบการศึกษาพร้อมเพื่อนๆ และรับปริญญาพร้อมเพื่อนๆ ได้ เป็นช่วงเวลาที่มีค่ามาก
เรื่องที่ 3 ช่วงเวลาที่คิดว่ามีค่ามากที่สุด คือ ช่วงที่ไปฝึกงานตอนเรียน ปริญญาตรี ปี 3 ได้ไปฝึกงานที่ บริษัท ทรูคอร์เปอร์เรชั่น จำกัด ที่ศูนย์ใหญ่กรุงเทพมหานคร ในตอนนั้นมีเพื่อนที่ไปฝึกงานด้วยกัน 4 คน ได้ทำงานในแผนกเดียวกัน ตอนนั้นรู้สึกว่าเวลามีความสำคัญมาก เพราะ ได้ฝึกงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ แก้ปัญหาทุกอย่างด้วยระบบคอมพิวเตอร์ของแผนกคอลเซ็นเตอร์
ตอนเช้าต้องรีบตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า เพื่ออาบน้ำแต่งตัวไปให้ทันก่อนที่พี่เลี้ยงและหัวหน้าแผนกจะมา ถ้าเราช้าคนเดียว เพื่อนคนอื่นๆ ก็จะสายไปด้วย ทำให้เพื่อนถูกบ่นและถ้าไปช้า การแก้ไขปัญหาของระบบคอมพิวเตอร์ของแผนกนั้นจะช้า จะทำให้คนที่ช่วยเราถูกหักจำนวนชั่วโมงการทำงานไปด้วย ดั้งนั่นจึงคิดว่าต้องรักษาเวลาเป็นอย่างดี ไม่ทำให้คนอื่นต้องรอหรือเดือดร้อน
เรื่องที่ 4 เมื่อจบปริญญาตรี เป็นช่วงที่หางาน ช่วงเวลาในการทำงานเป็น sale ในช่วงทดลองงาน 3 เดือน ทุกวันต้องมาทำงานก่อน 8 โมงเช้า ต้องเข้าสำนักงาน ตื่นตั้งแต่ 7 โมงเช้าเป็นอย่างต่ำ ต้องเข้าสำนักงานก่อน 15 นาที เพื่อวางแผนการทำงานว่าจะไปลงพื้นที่ไหน พอรู้พื้นที่ที่จะไปต้องหาเป้าหมายอย่างชัดเจนว่าขายให้ใคร ทำแบบนี้จนขายได้ทะลุเป้าที่วางไว้
หลังจากช่วงผ่านโปร 3 เดือนแล้ว ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้า เมื่อเป็นหัวหน้าต้องมาเตรียมแผนให้ลูกน้องในทีมตั้งแต่ 6 โมงเช้า มีลูกน้องในทีมที่ต้องดูแล 9 คน ต้องเป็นตัวอย่างให้ลูกน้องเห็นว่าการเป็น sale ที่ดีต้องทำอย่างไร คือ เมื่อใน 1 วัน ทุกคนมีเวลาเท่ากัน ทุกย่างก้าวที่ออกพื้นที่ไปต้องได้ยอดขายกลับมา เพื่อเป็นการเลี้ยงลูกน้องและตัวเอง จึงต้องใช้เวลาให้คุ้มค่ามากที่สุด
"มีเป้าหมาย
มีการวางแผน มีความกระตือรือร้น"
Workshop 2 # ต้นแบบด้านเวลา
2. สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์
นัมเกล วังชุก
1. คุณฐิตินาถ ณ พัทลุง
คุณฐิตินาถ
ณ พัทลุง เป็นคนรุ่นใหม่ จบปริญญาโทจากประเทศอังกฤษ มีความสำเร็จในธุรกิจส่วนตัว
แต่เธอสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งสูญเสียสามีด้วย แต่เธอก็สามารถเอาชนะมันได้
กลับกลายเป็นคนมีสติรู้ รู้ใจตนเอง มีอิสระ มีความสุข
มีความปรารถนาอยากให้เพื่อนมนุษย์จำนวนมากที่จมอยู่ในกองทุกข์ได้มี "เข็มทิศ
" เป็นเครื่องนำทาง โดย "ได้ทดลองปฏิบัติธรรมพบว่า ‘ใจ’ กับ ความเจ็บปวดแยกออกจากกันได้
เวลานั่งสมาธิเราปวดขา ความปวดแยกออกไปใจ
ส่วนใจเราจะไม่เจ็บปวดจนกว่าเราเผลอสติอยากบังคับให้สิ่งต่าง ๆ เป็นไปอย่างใจเรา” ทุกวันนี้ของ ฐิตินาถ ณ พัทลุง
เธอประกาศวางมือจากธุรกิจ ใช้ชีวิตกับ ‘น้องทะเล’ ลูกชายหนึ่งเดียวของเธอ หลังจากสามีเสียชีวิต
เธอ
ไม่เพียงแต่หยุดทำงานเฉยๆ แต่เธอได้ขายกิจการเวิร์คกิ้ง ไดมอนด์ และโรงเรียนแฮปปี้
คิดส์ มาเป็นคนเดินช้า เป็นคุณแม่ของลูก
และเป็นวิทยากรบรรยายธรรมะสำหรับคนทำงานในองค์กรรัฐ เอกชน และสถานปฏิบัติธรรม
รวมถึงเป็น ‘ครูอ้อย’ ของเด็ก
ๆ ในหลักสูตรปฏิบัติธรรม ธุรกิจ เวิร์คกิ้ง ไดมอนด์ และกิจการโรงเรียนแฮปปี้คิดส์
กำลังไปได้ดี แต่เธอก็ตัดสินใจขายทิ้งด้วยเหตุผลที่ว่าขอทำธุรกิจแบบพอเพียง
มีเงินก้อนหนึ่งที่คิดว่ามากพอแก่การดำรงชีวิตและอยู่ได้สบาย ๆ
ก็น่าจะใช้เวลาที่เหลือทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ
เพราะเงินนั้นเป็นสิ่งจำเป็นช่วยให้ชีวิตมีความสะดวกสบาย
แต่เราสามารถจัดวิถีการทำงาน และการใช้ชีวิตที่จะช่วยให้เรามีความสุขโดยใช้เงินน้อย
ๆ ก็ได้
เธอ
จัดพอร์ตชีวิต โดยมองว่า คนคนหนึ่งต้องการความสะดวกสบายระดับหนึ่ง
แต่มากไปกว่านั้น คือ ความสุข... เพราะฉะนั้นเราต้องเริ่มมีความสุขตั้งแต่วันนี้
เดี๋ยวนี้ แต่ความสุขในที่นี้ คือ ความสุขประณีต สุขใจ สุขกาย ไม่ทุกข์
ตามหลักพุทธศาสนา ขณะ ที่คนส่วนใหญ่
แม้จะมีเงินและทรัพย์สมบัติมากมายนับแสนล้านแต่ก็รู้สึกว่ายังไม่พอ ต้องมีนั่น
มีนี่ เปรียบเสมือนน้ำในแก้วไม่มีวันเต็ม เพราะความอยากในใจของเราไม่เคยหยุด
แก้วของเราจะโตขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เคยพอ
แต่ถ้าเรามีน้ำอยู่ครึ่งแก้วแล้วสามารถลดขนาดของแก้วน้ำลง จนเหลือเพียง 1 ใน 4
น้ำที่มีครึ่งแก้วก็จะล้นเกินอีกเท่าตัว เกินพอสำหรับเรา และพอที่จะแบ่งให้คนอื่น เมื่อน้ำเต็มแล้วเราก็จะไม่ต้องวิ่งหาน้ำมาเติมอีก
มีเวลาเหลือให้ลูก ให้คนที่เรารักให้กับการพัฒนาจิตใจตัวเอง
ให้กับสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตเราอย่างแท้จริง “ต้อง รู้จักพอเป็น มีแค่ไม่เดือดร้อนตลอดชีวิต และอ้อยมีลูกแค่คนเดียว
แล้วลูกก็เป็นเด็กพอเพียง ชอบการปฏิบัติธรรมเหมือนกัน
เราจึงไม่จำเป็นต้องวิ่งหาเงินไปเรื่อย ๆ”
เธอเชื่อว่ามีเงินแล้วอาจเจอทางตันต้องหาเงินมากขึ้นเรื่อย
ๆ เพิ่มความเครียด เพิ่มภาระเบียดเบียนกระทบคนอื่นมากขึ้น “คนที่มองว่าเงินเป็นเป้าหมายสูงสุด ความสุขทั้งหมดของชีวิตอยู่ที่เงิน
พอหมดเงิน ก็หมดความสุข” ฐิตินาถ เชื่อเช่นนี้ ความเชื่อเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืนทว่าเธอเองได้ปฏิบัติธรรมตามหลักพุทธศาสนา
ซึ่งพระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช มีเมตตาช่วยชี้นำทางหลังจากเธอได้ปฏิบัติธรรม ฐิตินาถเริ่มปฏิบัติธรรมหลังจากสามีเสียชีวิตกะทันหัน
ทิ้งหนี้ไว้ให้เกือบ 100 ล้านบาท ตอนนั้นลูกอายุไม่ถึงขวบ ธุรกิจของเขา
เธอเองก็ไม่เข้าใจ จะสานต่อก็คงยาก จะทำอย่างไรกับหนี้ก้อนโต
รู้สึกเจ็บปวดจนแทบเอาชีวิตไม่รอด จากนั้น ได้ทดลองปฏิบัติธรรม พบว่า ‘ใจ’ กับ ‘ความเจ็บปวด’ แยก ออกจากกันได้ เวลานั่งสมาธิเราปวดขา ความปวดแยกออกไป ใจส่วนใจ
ใจเราจะไม่เจ็บปวด จนกว่าเราเผลอสติ อยากบังคับให้สิ่งต่าง ๆ เป็นไปอย่างใจเรา
การปฏิบัติธรรมช่วยเธอได้ เพราะเธอใช้เวลา 2 ปีครึ่ง สามารถใช้หนี้เกือบ 100
ล้านได้หมด โดยยึด หลักการตัดอวัยวะรักษาชีวิต และทุกข์ตรงไหนวางตรงนั้น
หนักตรงไหนปล่อยตรงนั้น อะไรที่เรารักษาไว้ไม่ได้ก็ปล่อยมันไป
อะไรที่เราเข้าใจก็ดูแลให้ดี
ความประทับใจ
ชื่นชอบในการบริหารจัดการด้านทัศนคติ ปรับเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนแนวทางในการใช้เวลาในการดำรงชีวิตให้มีความสุข
โดยไม่ต้องพึ่งวัตถุที่อยู่ไกลตัวเรา
จนมองความสุขที่แท้จริงไม่เห็นว่าความสุขที่แท้จริงอยู่ในตัวเราอยู่ที่ความคิดของเรา
จัดการตัวเราให้ได้เวลาของความสุขก็จะมีมากขึ้น การดำรงชีวิตก็จะง่ายขึ้น
สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี
เคเซอร์ นัมเกล วังชุก เป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรภูฏาน รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์วังชุก ทรงได้รับการยกย่องจากชาวภูฏานรวมถึงชาวไทยส่วนใหญ่ว่ามีพระจริยวัตรที่งดงาม
และเป็นที่รักยิ่งของประชาชนชาวภูฏาน
สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี
เคเซอร์ นัมเกล วังซุก ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของพสกนิกรทุกหมู่เหล่า
จากการที่ทรงวางพระองค์อย่างเป็นกันเองในหมู่ประชาชน
จึงสร้างความประทับใจแก่พสกนิกรอย่างสูง
ถึงแม้ว่าพระองค์ไม่ต้องทรงรับพระราชภารกิจการบริหารประเทศ เนื่องจากสมเด็จพระราชบิดาได้ทรงวางระบอบปกครองแบบประชาธิปไตยขึ้นมาอยู่ก่อนแล้ว
แต่พระองค์เองก็ยังทรงเป็นสัญลักษณ์สำคัญ ในการสร้างเอกภาพและเสถียรภาพ
ในประเทศที่มีประชากรเพียง 650,000 คน
โดยมุ่งเน้นด้านความสุขมวลรวมของประชากรภายในประเทศเป็นสำคัญ
พระราชประวัติ
เสด็จพระราชสมภพเมื่อ
21
กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 พระองค์เป็นพระราชโอรสใน
สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก และ สมเด็จพระราชินี อาชิ เชอริง ยางดน
วังชุก ซึ่งเป็นพระมเหสีองค์ที่สามในบรรดาพระมเหสีทั้งสี่พระองค์
สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก มีพระขนิษฐาและพระอนุชาร่วมพระมารดา
ซึ่งมีพระนามว่า เจ้าหญิงอาชิ เดเชน ยังซัม และพระอนุชามีพระนามว่า เจ้าชาย ดาโช
จิกมี ดอร์จิ วังชุก
สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก หรือ เจ้าชายจิกมี
ทรงมีพระบรมราโชวาทแก่พสกนิกรหลายพันคนที่มาเข้าเฝ้าพระองค์ว่า
“ข้าพเจ้าไม่ต้องการสิ่งใด”
“สิ่งที่สำคัญสำหรับข้าพเจ้าคือความหวังและความมุ่งมาดปรารถนาของ
ประชาชน และพระชนมายุอันยืนยาวและพระพลานามัยอันแข็งแรงสำหรับสมเด็จพระราชบิดา
จิกมี ซิงเย วังชุก ของข้าพเจ้า” “ในโอกาสอันพิเศษยิ่งนี้
ขอให้ร่วมกันสวดมนต์และขออธิษฐานขอให้แสงตะวันเฉิดฉันแห่งความสุขจะสาดส่อง
ลงมาที่ประเทศชาติของเราเสมอไป”
ความประทับใจ
ชื่นชอบในการวางพระองค์อย่างเป็นกันเองในหมู่ประชาชน
ไม่ถือตัว ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง เป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิต
โดยท่านได้นำหลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงเรานำมาใช้
และนำระบอบประชาธิปไตยมาปกครองประเทศภูฎานให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและเรียบง่าย
3. ธุรกิจ 7-11
ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2470 ที่เมืองดัลลัส (Dallas)
มลรัฐเทกซัส (Texas) สหรัฐอเมริกา
จุดกำเนิดของร้านค้าสะดวกซื้อชื่อดังแห่งนี้ก็เกิดขึ้น เริ่มจากนาย โจ ซี ทอมป์สัน
(Joe C. Thompson) พนักงานโรงงานทำน้ำแข็ง บริษัท เซาท์แลนด์
ไอซ์ จำกัด (Southland IceCompany) มองเห็นว่า
พนักงานโรงงานน้ำแข็งที่เข้ากะ ออกกะ จำนวนมากมายไม่มีที่ให้ซื้อของกิน
ก็เลยเปิดร้านขาย ขนมปัง ไข่ไก่ แซนวิช ที่หน้าโรงงาน เปิดร้านขายตั้งแต่ 7 โมงเช้า ถึง 5 ทุ่ม ขายดิบ ขายดี
ขายทุกวันแบบไม่มีวันหยุด แถมราคาไม่แพง ลูกค้าติดมากมาย ก็เลยเพิ่มของใช้พวกสบู่
แชมพู อะไรต่อมิอะไรเข้าไปอีก ตอนนั้นใช้ชื่อร้านว่า "โทเทม สโตร์ (Tote'm
Store)" ธุรกิจเติบโตได้ดี นายทอมสันป์สัน
ก็เปิดสาขาเพิ่มไปเรื่อย ๆ
จุดหักเหของธุรกิจจากร้านค้าปลีกเล็ก
ๆ จนกลายเป็นธุรกิจใหญ่โต มีนายโจ ทอมป์สัน เป็นผู้คิดพัฒนารูปแบบร้านค้าสะดวกซื้อให้กลายเป็นธุรกิจคอนวีเนียนสโตร์เต็มรูปแบบ
เพียง 12 ปีหลังการก่อตั้ง ขยายร้านได้ถึง 60 สาขาทั่วดัลลัส
รายได้และกำไรหลัก ๆ มาจากยอดขายสินค้าอื่น ๆ และจำนวนร้านที่ขยายเพิ่มมากขึ้น ปี
พ.ศ. 2488 บริษัทเปลี่ยนชื่อเป็น "เซาธ์แลนด์
คอร์ปอเรชั่น" ถัดมาอีก 1 ปี ในปี พ.ศ. 2549 ได้เปลี่ยนชื่อร้านค้าปลีกเป็น "Seven-Eleven (เซเว่น-อีเลฟเว่น)" ภายใต้เครื่องหมายการค้า 7-11 เพื่อรองรับการขยายกิจการนี้
เนื่องจากต้องการสื่อถึงเวลาที่เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 07.00 - 23.00 น. ซึ่งก็คือ 07.00 am. - 11.00 pm. นั่นเอง
ปี
2523 บริษัทของนาย ทอมสัน เจอปัญหาเงินหมุนเวียนไม่พอ
และมีหนี้สินจำนวนมากมายจากการขยายสาขามากเกินไป จนถูกฟ้องล้มละลาย ในขณะนั้น
"นายอิโต-โยคะโด (Ito-Yokado)" ชาวญี่ปุ่นได้เข้ามาช่วยโดยมาถือหุ้นบางส่วน
ทำให้เซเว่น-อีเลฟเว่น ยังเดินธุรกิจต่อไปได้ แต่อีก 7 ปีถัดมาตลาดหุ้นตกต่ำ
หนี้ของบริษัทก็ท่วมอีกรอบ รอบนี้นายจอห์น ทอมสัน ซึ่งเป็นลูกของนายโจ ผู้ก่อตั้ง
เลยขายกิจการทั้งหมดยกให้ Ito-Yokado ไปทำต่อ เมื่อ Ito-Yokado
เมื่อรับ เซเว่น-อีเลฟเว่น
มาแล้วก็เลยเอามาปรับปรุงพัฒนารูปแบบธุรกิจ และขายแฟรนชายน์ จนเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลกจนทุกวันนี้
สำหรับ
เซเว่น-อีเลฟเว่น ในประเทศไทยนั้น เข้ามาในประเทศไทยปี 2531
โดยเครือเจริญโภคภัณฑ์หรือซีพี
เห็นว่าธุรกิจนี้สอดคล้องกับสังคมของคนไทย เปิดร้าน เซเว่น-อีเลฟเว่น
สาขาแรกในเมืองไทยตรงหัวมุมถนนพัฒน์พงษ์ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน
พ.ศ. 2532 จากนั้นก็เพิ่มสาขาเรื่อยมาจนปรากฏให้เห็นทั่วประเทศ
ปัจจุบัน ปี 2554 มีร้าน เซเว่น-อีเลฟเว่น รวม 6,276 สาขา มากเป็นอันดับที่ 3 ในโลกรองจาก ญี่ปุ่น 13,718
สาขา และอเมริกา 7,283 สาขา
สินค้าหลากหลาย
แบ่งตามกลุ่มได้ 4 กลุ่ม ดังนี้
1.
กลุ่มอาหาร : อาหารประเภทอุ่นร้อนพร้อมทาน
โดยมีการคิดเมนูอาหารใหม่ๆอยู่เสมอ , อาหารพร้อมทาน เช่น ขนมปัง
ขนมเค้ก คุกกี้ ขนมขบเคี้ยว ของทานเล่น ช็อกโกแลต ลูกอม ไอศกรีม
2.
เครื่องดื่ม : เครื่องดื่มบรรจุขวด , เครื่องดื่มแบบเติม โดยมีทั้งแบบร้อนและแบบเย็น
3.
กลุ่มเครื่องใช้ : เครื่องใช้ส่วนตัว เช่น
ยาสระผม แปรงสีฟัน สบู่ เจลล้างหน้า , เครื่องใช้ในครัวเรือน
เช่น น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก น้ำยาล้างห้องน้ำ
4.
กลุ่มอื่นๆ ที่จะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ
เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด
ข้อดีของธุรกิจ 7-11
-
ธุรกิจ 7-11 มีการจัดระบบค้าปลีกแบบมืออาชีพ
มีระบบโปรแกรม pos โดยเฉพาะของเซเวาน ช่วยจัดการบริหารสต๊อก
ความถูกต้องต่างๆได้เป็นอย่างดี
-
มีการจัดอบรมพนักงานแบบเป็นระบบ เป็นมาตรฐาน
ชนิดที่มีมหาวิทยาลัยผลิตบุคลากรด้านค้าปลีกโดยเฉพาะ
-
มีภาพลัษณ์ที่เข้มแข็ง
-
มีการโฆษณาอย่างต่อเนื่อง
-
มีการพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง
ความประทับใจ
ชื่นชอบในการเป็นธุรกิจ
ที่สามารถอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าได้ทุกเพศทุกวัย เพราะมีทั้งสินค้า
และบริการที่ครบครัน บริการ 24 ชม. มีบริการจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ
หรือบิลต่างได้ตลอด ทำให้คนที่ทำงานไม่มีเวลาช่วงเช้าที่เป็นเวลาราชการ
หรือคนที่ทำงานเป็นกะ สามารถซื้อสินค้าและชำระต่างๆ เซเว่นก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการใช้บริการ
4. คุณตัน ภาสกรนที
คุณตันเกิดในครอบครัวลูกคนจีนธรรมดาคนหนึ่ง
ที่มีคุณพ่ออพยพมาจากเมืองจีน หอบเสื่อผืนหมอนใบเหมือนกันกับครอบครัวคนจีนหลายครอบครัว
ที่ยากจน เริ่มต้นชีวิตจากศูนย์ จบการศึกษามัธยมศึกษาปีที่3 เริ่มต้นชีวิตทำงานด้วยวัย 17 ปี ด้วยความขยัน อดทน
ซื่อสัตย์ คุณตันค่อย ๆ เริ่มต้นชีวิตจากการทำงานแบกของ ส่งของ และอีกหลายๆอย่าง
ตั้งแต่ ลวกบะหมี่ เลี้ยงไก่ ขายเฉาก๊วย
เรื่อยมาจนเริ่มมีธุรกิจเป็นแผงลอยขายหนังสือพิมพ์เป็นของตัวเอง
แม้จะหมดตัวตั้งแต่วันที่ยังไม่เปิดแผงวันแรกเพราะฝนตกทำให้หนังสือเปียกหมด แต่ด้วยความอดทน
และขยันกว่าใคร คุณตันจะขายหนังสือมากกว่า และเปิดขายของมากกว่าร้านข้างๆ เป็น 2 เท่า เปิดขายตั้งแต่ตี 5 ถึง ตี 2 ทุกวัน สิ่งที่คุณตันทำเหมือนกับหลาย ๆ คน
แต่สิ่งที่เค้าคิดกลับไม่เหมือนใคร เพราะการทำงานหลายๆ
อย่างต่างเป็นประสบการณ์ในชีวิต ไม่เคยคิดว่าการทำงานมันเหนื่อย
แต่กลับสนุกและมีความสุขในการทำงาน ไม่ได้เป็นมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานไปวันๆ
ด้วยความที่รักในการทำงานและอยากเห็นผลงานที่ตัวเองทำอย่างดีที่สุด
แม้ในการดูแลกิจการโออิชิแรก ๆ คุณตันก็ยังดูแลงานเบื้องหลังต่างๆ
เพื่อให้การบริการลูกค้าได้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเช็ดโต๊ะ ซ่อมก๊อกน้ำ
หรือการล้างห้องน้ำเอง คุณตันก็จะลงมือทำเองโดยไม่ได้รังเกียจ
แม้ปัจจุบันจะไม่ได้ทำแล้ว แต่เค้าเองก็พร้อมที่จะทำงานเสมอ
ในวันที่คุณตันขายหุ้นใหญ่ของบริษัท
โออิชิ กรุ๊ป จำกัด ( มหาชน ) ให้กับบริษัทไทยเบฟเวอร์เรจ จำกัด ของคุณเจริญ
สิริวัฒนภักดี เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2551 ก่อนจะลาออกตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัท
มาตั้งบริษัทใหม่ คือ บริษัท ไม่ตัน จำกัด เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2553
เขาได้ก่อตั้งมูลนิธิ ตันปัน เพื่อเป็น “ศูนย์กลางการแบ่งปันด้านการศึกษาและสิ่งแวดล้อม” พร้อมประกาศเจตนารมณ์ว่า
เขาและภรรยาจะแบ่งกำไรของบริษัทที่ตั้งใหม่ 50 % มอบแก่มูลนิธิเป็นประจำทุกปี ไปจนกว่าเขาจะอายุ
60 ปี และหลังจากนั้น ส่วนแบ่งที่จะมอบให้มูลนิธิ จะเพิ่มเป็นมากกว่า 90 %
คุณตันบอกว่า บริษัท ไม่ตัน จำกัด ที่ปัจจุบันประกอบธุรกิจเครื่องดื่มชาเขียว
อิชิตัน นั้น ประกอบการเพื่อ “ภารกิจ” มากกว่า
“ธุรกิจ” ภารกิจที่ว่าคือ การจัดสรรค์เงินปันผลกำไรไปช่วยเหลือด้านการศึกษาของเด็กที่ขาดแคลนโอกาส
เหมือนที่คุณตันเคยขาดแคลน รวมถึงส่งเสริมสนับสนุนด้านการพัฒนาสิ่งแวดล้อม
จากการที่สื่อมวลชนได้เคยสัมภาษณ์คุณตันถึงความสำเร็จในการประกอบธุรกิจ
ทำให้เห็นถึงความเป็นคนจริงใจ และจริงจังกับงาน
ประกอบกับความเป็นผู้มีน้ำใจที่แสดงให้เห็นเมื่อขณะประสบอุทกภัยใหญ่เมื่อ 2554 ที่ผ่านมา ทำให้คุณตันเป็นผู้ใหญ่ที่หลายๆ คนต่างให้ความยอมรับนับถือ
และเป็นที่รักของทุกๆ คน แม้การประกอบธุรกิจจะมีขึ้นบ้าง ลงบ้าง
แม้จะต้องล้มลุกคลุกคลาน แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยคือความเป็นคุณตัน
ที่ไม่เคยยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดๆ ยังซื่อสัตย์ต่อธุรกิจจะไม่ยอมให้ของที่ไม่ดี
ไม่ถูกต้องแก่ผู้บริโภค แม้จะได้ยินชื่อเสียหายจากหลายๆที่ที่พยายามจะทำลายชื่อเสียงของคุณตันหลายๆ
ครั้ง หลายๆ อย่าง
แต่นั่นเป็นเพียงการทำลายที่ไม่อาจทำให้คนจริงอย่างคุณตันล้มได้อย่างแน่นอน จุดเริ่มต้นของคุณตัน
คือจุดที่ใคร ๆ ก็เริ่มต้นได้
ปัจจุบันคุณตันได้เปิด มูลนิธิตันปัน
เพื่อใช้ในการพัฒนาการศึกษาและสิ่งแวดล้อม คุณตันเล่าว่า
"ผมจะมุ่งมั่นที่จะสร้างบริษัท ไม่ตัน ให้เป็นธุรกิจเพื่อภารกิจของ
มูลนิธิตันปัน และ “เป้าหมาย”ของผมนับจากนี้ ไม่ใช่”การได้รับ” แต่เป็น”การให้”“ความสุข”ของผมจะไม่ได้อยู่ที่”ตัวเลข” แต่เป็น”รอยยิ้ม”ของคนที่”ได้รับ”
คำคมจากคุณตัน
- “ถ้าเก่งสู้เค้าไม่ได้
ทางเดียวที่จะทำได้ให้เท่ากับเขาหรือมากกว่า คือ ต้องทำให้มากกว่า 2-3 เท่าหรือมากกว่านั้น”
-
หาความรู้ด้วยการตั้ง “คำถาม”
-
“ความสำเร็จ” และ “ความล้มเหลว”
มีคุณค่าที่เหมือนกันอยู่ข้อหนึ่ง คือให้ประสบการณ์แก่ชีวิต ถ้าเรามัวแต่คิด
ไม่ยอมลงมือทำ แม้แต่ประสบการณ์ความล้มเหลวก็ยังไม่มีเลย
-
ถ้าเราคิดเสมอว่า “เราทำได้” พยายามกับทุกเรื่องให้ถึงที่สุดไม่ยอมแพ้ต่ออะไรง่าย ๆ แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ
โอกาสที่ “ความสำเร็จ” จะเป็นของเราก็มีอยู่สูง
ความประทับใจ
ชื่นชอบในการแนวความขยัน
และการมีแนวความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆอยู่เสมอ กล้าที่จะทำสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น
กล้าถามผู้รู้ในสิ่งที่ตนเองไม่รู้และนำสิ่งเหล่านั้นมาพัฒนาตนเอง
พัฒนาธุรกิจของตน ชอบในความไม่ถือตัว
และเมื่อตนประสบความสำเร็จแล้วก็คิดที่จะแบ่งปันไปสู่คนอื่นๆต่อไปโดยการจัดตั้งมูลนิธิเพื่อใช้ในการพัฒนาการศึกษาและสิ่งแวดล้อม
"กล้าคิดเปลี่ยน
มีความคิดสร้างสรรค์ ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง"
Workshop 3 # Positive Deviance การค้นหาความต่างเชิงบวก
1. ธนาคารทหารไทย
ธนาคารทหารไทยเป็นธนาคารมีระบบให้บริการการทำธุรกรรมทางการเงินที่ดีและแตกต่างจากธนาคารอื่น
เนื่องจากธนาคารทหารไทยมีบัตร ATM ที่ผู้ถือบัตรสามารถถอนเงินได้ไม่เสียค่าธรรมเนียมใดๆ
ไม่ว่าจะถอนเงินผ่าน ตู้ATM ต่างธนาคาร ต่างสาขา ต่างจังหวัด
หรือการโอนเงินไปต่างสาขา หรือต่างธนาคารก็ไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่ม จึงทำให้ธนาคารทหารไทยมีความแตกต่างเชิงบวกในการบริการลูกค้า
2. เครือข่ายโทรศัพท์ True
การให้บริการของเครือข่ายโทรศัพท์แต่ละเครือข่ายนั้นมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป
แต่การบริการของเครือข่ายทรูมีบริการที่สะดวกและรวดเร็วมากกว่าเครือข่ายโทรศัพท์ค่ายอื่น
ไม่ว่าจะการบริการภายในช็อป หรือ Call Center เนื่องจากเมื่อลูกค้าสอบถามถึงปัญหาต่างๆก็จะมีการตอบสนองต่อการแก้ปัญหานั้น
โดยสามารถชี้แจงให้ทราบถึงปัญหาและวิธีการในการแก้ไขได้ชัดเจน พร้อมทั้งมีการสนทนาที่เข้าใจง่าย
3. Mc Donald
Mc
Donald จากเดิมนั้นมีการเปิดบริการขายเฉพาะในห้างสรรพสินค้า
แต่ปัจจุบันได้มีการบริการที่ดีและสามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นกว่าร้านอาหาร Fast
Food อื่นๆ เนื่องจากได้มีการเปิดบริการนอกห้างสรรพสินค้า มีการเปิดบริการ
24 ชม. นอกจากนั้นยังมีการให้บริการในรูปแบบ
Drive-thru ในบางสาขา โดยลูกค้าที่ต้องการจะซื้อสินค้าเพื่อนำกลับไปทานที่บ้าน
ลูกค้าสามารถซื้อสินค้า ตั้งแต่สั่งอาหาร รอรับอาหาร ชำระเงินได้โดยที่ไม่ต้องลงจากรถ
ทำให้ลูกค้าสามารถขับรถเข้าไปซื้อและรับสินค้าได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
4. ร้านสรวลหรรษา
ร้านอาหารสรวลหรรษามีบริการที่ดีและแตกต่างจากร้านอื่นๆ
เนื่องจากร้านอาหารอื่นๆเวลาที่ลูกค้าต้องการเรียกพนักงานเพื่อใช้บริการจะต้องใช่เสียงเรียก
หรือยกมือเรียก ซึ่งถ้าไม่มีพนักงานอยู่บริเวณนั้นลูกค้าก็จะต้องรอเพื่อให้พนักงานเดินมาเพื่อสั่งอาหาร
แต่ร้านสรวลหรรษาแตกต่างจากร้านอื่นๆ โดยที่โต๊ะอาหารจะมีปุ่มเพื่อเอาไว้กดเรียกพนักงาน
เมื่อลูกค้ากดปุ่ม หมายเลขโต๊ะก็จะขึ้นที่บริเวรที่พนักงานสามารถมองเห็นได้พร้อมกับมีเสียงเตือนขึ้น
ทำให้พนักงานสามารถบริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ทั่วถึง
โดยที่ลูกค้าที่ไม่ต้องยกมือขึ้นหรือตะโกนเรียก ทำให้ประหยัดเวลา และให้บริการได้ดีกว่าร้านอื่นๆ
"บริการดี รวดเร็ว เอาใจใส่ความต้องการของลูกค้า"
Divergence ของกลุ่ม
คือ คิดเปลี่ยน บริการดี มีความกระตือรือร้น
Workshop 4 # Dream ออกแบบความฝัน
ทั้ง 4 คน ลงทุนคนละ 10 ล้าน
เพื่อทำธุรกิจบ้านจัดสรรครบวงจร โครงการหมู่บ้าน Smile ทั้ง 4 คนมีบ้านคนละหลังอยู่ในหมู่บ้าน ใกล้ๆกัน
คนในหมู่บ้านรู้จักกันเป็นอย่างดี รู้จักกันทุกหลัง
ได้ทำกิจกรรมร่วมกันภายในหมู่บ้าน เช่น ปาร์ตี้รำไทเกก เต้นลีลาศ มีคอนเสิร์ต เลี้ยงสังสรรค์กัน
เพื่อความผูกพันมีความสัมพันธ์ที่ดี ทำให้คนในหมู่บ้านใกล้ชิดกันมากขึ้น
ตั้งแต่หน้าหมู่บ้าน พนักงานรักษาความปลอดภัย ยิ้มให้อย่างมีความสุข
คนในหมู่บ้านยิ้มแย้มแจ่มใส แบ่งปันของให้กัน บรรยากาศภายในหมู่บ้านอากาศบริสุทธิ์
ร่มรื่น เต็มไปด้วยต้นไม้ มีร้านกาแฟที่อร่อยที่สุดอยู่ในหมู่บ้าน มี car
care ร้านอาหาร สวนสาธารณะ ครบครัน ทั้ง 4 คน นั่งจิบกาแฟ
กินข้าวคุยกันยามเช้า มีครอบครัวที่น่ารักและอบอุ่น
Workshop
5 # Design
10
วัน
-
- ศีกษาข้อมูลแบบหมู่บ้านของโครงการต่าง
ๆ
-
- เริ่มมองหาแหล่งเงินลงทุน
-
- หาทำเลที่ตั้งของโครงการ
-
- เริ่มวางแผนการจัดสรรตารางเวลาให้ชัดเจน
10 สัปดาห์
-
- วางแผนในการวางโครงสร้างหมู่บ้าน
ในแบบต่างๆ ตามเป้าหมายที่วางแผนไว้
-
- หาผู้รับเหมาก่อสร้าง
วิศวกรคุมการก่อสร้าง คนงานก่อสร้าง
-
- มีสำนักงานขายของโครงการ
-
- ลงเงินลงทุน
10 เดือน
-
- สามารถเลือกแบบบ้าน
และสร้างหรือออกแบบบ้านเองได้
-
- เริ่มเปิดตัวโครงการ
มีตัวอย่างแสดงบ้านที่สร้างเสร็จบางส่วน
- - ควบคุมการก่อสร้าง ตกแต่งภายในให้ปลอดภัย
และให้ได้รับมาตรฐาน
-
- วางระบบประปา ระบบไฟฟ้า
ให้ครอบคลุม
-
- มีการประชาสัมพันธ์ตามสื่อต่างๆ
10 ปี
-
- เป็นหมู่บ้านที่มีลูกบ้านเต็มทุกหลัง
ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของหมู่บ้านที่ออกแบบได้สวยที่สุด
-
- มีการระดมทุน
เพื่อขยายเฟสเพิ่ม
-
- นำโครงการหมู่บ้านเข้าตลาดหลักทรัพย์
-
- มองหาตลาดใหม่
เพื่อขยายไปยังประเทศข้างเคียง
สมาชิก
1. น.ส. ภรณ์ทิพย์ แซ่จึง รหัส 565740160-1
2. น.ส.จริญญารัตน์ กลางประพันธุ์ รหัส 565740174-0
3. นายทศวรรษ นฤนาทวัฒนา รหัส 565740185-5
4. น.ส.นันทฉัตร รื่นอายุ รหัส 565740193-6
MBA Y#15 Sec.1
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น